ECF ชี้ จะเป็นชาติจักรยานก็ต้องมียุทธศาสตร์จักรยานแห่งชาติ ไทยเราก็มีแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเสนอไปยังคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เมื่อต้นปี 2555 ให้บรรจุ “การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน” เป็นระเบียบวาระหนึ่งของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18-20 ธันวาคม 2555 นั้น ชมรมฯ ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของสหพันธ์ผู้ใช้จักรยานยุโรป (European Cyclists’ Federation – ECF) และ ECF เองก็ยังไม่ได้สรุปออกมาว่า “การที่ชาติหรือประเทศหนึ่งๆ จะเป็น “ชาติ(ประเทศ)จักรยาน” อย่างที่พวกเราคนใช้จักรยานปรารถนานั้น ชาติ(ประเทศ)นั้นต้องมี “ยุทธศาสตร์จักรยานแห่งชาติ” และต้องมีรัฐบาลแห่งชาติที่ทำงานเชิงรุกในการส่งเสริมการใช้จักรยานด้วย แต่มติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ของไทยออกมาในปีนั้นก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยาน
ในยุโรปนั้น เนเธอร์แลนด์นำหน้าไปเป็นชาติแรกโดยมีแผนแม่บทว่าด้วยจักรยานมาตั้งแต่ปี 1990 ถึงวันนี้ก็ 25 ปีมาแล้ว แต่ ECF เชื่อว่าการที่เยอรมนี ชาติที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป เริ่มมียุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติฉบับแรกในปี 2002 ต่างหากที่ทำให้ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ ทำตามจนราวครึ่งหนึ่งมียุทธศาสตร์เช่นว่านี้แล้วในปัจจุบัน (ปี 2015) โดยอังกฤษ สวีเดน และโครเอเชีย เป็นสามชาติล่าสุดที่กำลังลงรายละเอียดยุทธศาสตร์ของตน และเมื่อแผนแม่บทยุโรปเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยาน (pan-European Master Plan for Cycling Promotion) ออกมาในอีกสี่ปีข้างหน้า ประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกสหภาพยุโรป ก็จะพัฒนายุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติของตนขึ้นมามากขึ้นๆ
อย่างไรก็ตาม ECF ยอมรับว่าเป็นการยากที่จะวัดผลกระทบโดยตรงของยุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติต่อระดับการใช้จักรยานในชาตินั้น เพราะการใช้จักรยานเพื่อการสัญจรในชีวิตประจำวันเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น จึงมีเหตุผลเต็มๆ ที่เราจะตั้งคำถามว่า การที่ประชาชนขี่จักรยานไปทำงานหรือเด็กขี่จักรยานไปเรียนมากขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลส่งเสริมให้ใช้จักรยานมากขึ้นจริงหรือ? เพราะไม่ว่าที่ไหนในโลก ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยของเราเอง ยุทธศาสตร์อะไรก็ตามของรัฐอาจมีอยู่จริงเป็นตัวอักษรหมึกบนกระดาษเท่านั้น แต่ไม่เคยมีการเอามาปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ยุทธศาสตร์การใช้จักรยานก็เช่นกัน มิได้เป็นข้อยกเว้น และก็มีเหตุผลได้มากมายหลายแหล่ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น เช่น งบประมาณอาจไม่เพียงพอ(หรือพูดจริงๆ ก็คือไม่ได้จัดสรรงบประมาณมาให้เพียงพอ) หรืออาจจะเป็นการที่หน่วยงานรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ประสานงานกันเพียงพอ ทั้งระหว่างหน่วยงานต่างกระทรวงต่างกรม หรือหน่วยงานในกระทรวงหรือกรมเดียวกันในระดับต่างกัน นอกจากนั้นก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีผลกระทบต่อการใช้จักรยาน เช่น ผังเมือง หรือสภาพทางเศรษฐกิจสังคม
การใช้จักรยานในชีวิตประจำวันในเยอรมนี
กระนั้น ECF ก็ยังเอาการมีอยู่ของยุทธศาสตร์การใช้จักรยานของประเทศต่างๆ ไปเทียบกับผลที่ได้ออกมาจากการจัดลำดับรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปในเรื่องการใช้จักรยานด้วยตัวชี้วัด 5 ตัว ซึ่ง ECF เรียกรวมว่า ECF Cycling Barometer ตัวชี้วัดทั้งห้านี้ได้แก่ 1) ความปลอดภัยทางถนน 2) การใช้จักรยาน 3) การท่องเที่ยวด้วยจักรยาน 4) ขนาดของตลาดจักรยาน และ 5) การผลักดันนโยบายการใช้จักรยาน ซึ่งเมื่อเอาคะแนนทั้งห้าหมวดนี้มารวมกันแล้ว ในปี 2015 เดนมาร์กมาที่ 1 ตามด้วยเนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ดังตารางข้างล่างนี้ นอกจากนั้น ECF ยังเอาการวัดนี้ไปใช้กับเมืองหลวงด้วยในฐานะตัวชี้วัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพในระดับชาติกับระดับท้องถิ่น แล้วพบว่า ทุกประเทศที่มีนโยบายการใช้จักรยานแห่งชาติ (ชื่อประเทศอยู่ในสีเขียว) เป็นประเทศที่ทำคะแนนได้ดีกับ Cycling Barometerยกเว้นไอร์แลนด์ประเทศเดียว สำหรับสามประเทศที่ชื่ออยู่ในสีเหลือง เนเธอร์แลนด์กับอังกฤษเคยมีนโยบายการใช้จักรยานแห่งชาติมาก่อน และเบลเยี่ยม ซึ่งแม้จะมียุทธศาสตร์ก็จริง แต่ก็ไม่เป็นทางการ เช่น มีแผนแม่บทที่รัฐบาลไม่เคยให้การยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่ก็ใช้ชี้นำการทำงานส่งเสริมการใช้จักรยาน แต่ที่แน่ๆคือ ไม่มีประเทศใดเลยที่ไม่มียุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติ ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอดีต (ประเทศที่ชื่ออยู่ในสีแดง) ได้คะแนนมากจนอยู่ในลำดับต้นๆ หรือแม้แต่ในครึ่งบนของตาราง
ทีนี้เมื่อมาดูที่เมืองหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาลชาติและกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ยกเว้นเนเธอร์แลนด์ (ซึ่งรัฐบาลไปตั้งอยู่ที่เฮก ไม่ใช่อัมสเตอร์ดัม) เมืองหลวงของทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่ซึ่งสิ่งใหม่ๆ ของประเทศเกิดขึ้น จากนั้นก็กลายเป็น “กระแสหลัก” แผ่กระจายออกไปทั่วประเทศ ECF พบว่าในทุกประเทศที่มียุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติอยู่ในปัจจุบัน เมืองหลวงของประเทศมีวัตถุประสงค์การเติบโตของการใช้จักรยานที่วัดได้ แม้จะไม่ดูว่าเมืองหลวงหรือระดับชาติอะไรมาก่อน ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงจะสอดคล้องไปทางเดียวกับสิ่งที่เกิดในระดับประเทศ ยกเว้นการเติบโตที่เกิดขึ้นกับโรมและแมดริดกระโดดก้าวล้ำทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับชาติของอิตาลีกับสเปนไปเลย
ลำดับของประเทศใน ECF 2015 2013 วิวัฒนาการ เมืองหลวง วัตถุประสงค์การเติบโต
Cycling Barometer (ปรับในช่วงเวลา 10 ปี)
Denmark 1 1 0 Copenhagen 43%
Netherlands 2 1 -1 Amsterdam –
Sweden 3 3 0 Stockholm 100%
Finland 4 4 0 Helsinki 36%
Germany 5 5 0 Berlin 38 – 54%
Belgium 6 6 0 Brussels 186%
Slovenia 7 12 5 Ljubljana 67%
Hungary 8 8 0 Budapest 400%
Austria 9 7 -2 Vienna 67%
Slovakia 10 9 -1 Bratislava 400%
United Kingdom 11 10 -1 London 150%
France 12 11 -1 Paris 650%
Luxembourg 13 19 6 Luxembourg 186%
Czech Republic 14 13 -1 Prague 400 – 600%
Lithuania 15 20 5 Vilnius –
Croatia 16 n/a n/a Zagreb –
Italy 17 15 -2 Rome 567%
Spain 18 23 5 Madrid 200%
Estonia 19 15 -4 Tallinn –
Poland 20 20 0 Warsaw –
Bulgaria 21 25 4 Sofia –
Ireland 21 14 -7 Dublin 216%
Latvia 21 17 -4 Riga –
Greece 24 17 -7 Athens –
Malta 24 27 3 La Valetta –
Cyprus 26 22 -4 Nicosia –
Portugal 27 23 -4 Lisbon –
Romania 28 25 -3 Bucarest –
การค้นพบนี้นำไปสู่ข้อสรุปที่ ECF เพิ่งนำมาออกในเดือนสิงหาคม 2015 นี่เองว่า ชาติ(ประเทศ)หนึ่งๆ จำเป็นต้องพัฒนาและดำเนินการยุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติ จึงจะเป็นชาติจักรยานขึ้นมาได้ ECF ยอมรับว่าไม่มีหลักฐานมายืนยันความเป็นเหตุเป็นผลของข้อสรูปนี้ แต่ตัวเลขในตารางข้างต้นบ่งบอกว่าดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นในลักษณะเช่นนั้น
ส่วนแผนแม่บทยุโรปสำหรับการส่งเสริมการใช้จักรยานที่ขณะนี้กำลังพัฒนากันอยู่และมีกำหนดว่าจะนำมาใช้อย่างเร็วก็ในปี 2019 จะให้คำแนะนำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 56 ประเทศว่า รัฐบาลแห่งชาติของประเทศนั้นๆ จะสนับสนุนการใช้จักรยานอย่างไร ที่เร็วกว่าคือ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2015 รัฐมนตรีคมนาคมขนส่งของประเทศเหล่านี้จะมาประชุมกันที่ลักเซ็มเบอร์ก หารือกันเรื่องเดียวถึงการใช้จักรยานในฐานะที่เป็นวิธีการเดินทางขนส่ง
สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นฯ ผ่านมติรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเดินการใช้จักรยานระดับชาติของไทย 5สิงหาคม 2558
กลับมาที่ประเทศไทย มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 มติ 5.1 การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ที่ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยได้ผลักดันให้มีการผ่านออกมานั้น ข้อ 2 ได้กำหนดให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเดินและการใช้จักรยาน ต่อมาเมื่อสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าไม่อาจปฏิบัติตามมติที่ให้เป็นผู้ดำเนินการได้เพราะไม่อยู่ในภารกิจของตน ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการเพราะมีกฎหมายรับรองอยู่แล้ว คณะกรรมการฯ จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพนี้ขึ้น โดยมีชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นแกนกลางและกองเลขานุการ คณะทำงานได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นต่อร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวในระดับภาคและกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 ครั้ง นำความเห็นไปปรับปรุงร่างเอกสาร และจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นยุทธศาสตร์การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันขึ้นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 และสมัชชาฯแห่งนั้นได้ลงมติผ่านยุทธศาสตร์ดังกล่าวออกมา ทำให้ไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มียุทธศาสตร์การใช้จักรยานแห่งชาติ เป็นความก้าวหน้าเทียบได้ในระดับสากล และเป็นการปูพื้นฐานให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นชาติจักรยาน
กวิน ชุติมา กรรมการชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย เขียนจากข้อมูลในข่าว Want to become a cycling nation, get a national cycling strategy ใน ECF E-Newsletter, 28 August 2015
สหพันธ์ผู้ใช้จักรยานยุโรป (European Cyclists’ Federation) รับชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิกวิสามัญ (Associate Member) เมื่อเดือนมิถุนายน 2013 โดยเป็นสมาชิกของ ECF องค์กรแรกของทวีปเอเชีย