เกือบสามร้อยหารือความปลอดภัยของการเดินและการใช้จักรยานในการประชุมวิชาการครั้งที่ 3 : การประชุมห้องย่อยที่ 1-4
บันทึกการประชุมห้องย่อยที่ 1 (ห้อง 201):กลุ่มงานวิจัยด้านกฎหมายและนโยบาย (Law & Policy)
ผู้ดำเนินรายการ: ดร.ประพัทธ์พงษ์ อุปลา
(1) ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายทางจักรยาน กรณีศึกษาทางจักรยานรอบเกาะรัตนโกสินทร์
โดยปิยธิดา พิชชโยธิน นักศึกษาปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การศึกษานี้เป็นการศึกษา 5 เส้นทางเดิมที่มีการประกาศข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรให้เป็นช่องทางเดินรถสำหรับรถจักรยานในปี 2553ก่อนที่จะมีการทำและประกาศเพิ่มรวมเป็น 12 เส้นทางในปลายปี 2557 ผู้ศึกษาได้ให้ข้อมูลกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พรบ.ล้อเลื่อน 2475 และ พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่มีถึงระบุเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในการใช้จักรยานไว้ในมาตรา 70-84 โดยมีบทลงโทษในมาตรา 147 ปรับผู้ฝ่าฝืนมาตรา 79, 80 และ 82 ได้ไม่เกิน 200 บาท และมีมาตรา 139 ห้ามไม่ให้ยานพาหนะอื่นเข้าไปใช้ช่องทางจักรยาน โดยมีบทลงโทษในมาตรา 154(2) ปรับผู้ฝ่าฝืนได้ไม่เกิน 1,000 บาท ในห้าเส้นทางนี้มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายกับเส้นทางเหล่านี้โดยตลอด เช่นเดียวกับการบังคับใช้กฎหมายฉบับอื่นๆ คือมีรถทุกประเภทมาจอดทับทางจักรยาน ต่อการบังคับใช้กฎหมาย มีข้ออ้างจากตำรวจว่ามีกำลังพลไม่เพียงพอ แต่ก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่บังคับใช้กฎหมายทั้งที่เห็นผู้ทำผิดต่อหน้าต่อตา ส่วนผู้ทำผิดมักกล่าวว่าไม่ทราบกฎหมาย ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นตามกฎหมาย การไม่บังคับใช้กฎหมายทำให้เส้นทางจักรยานบางถนนแทบใช้ไม่ได้เลย ดังนั้นการมีเสากั้นไม่ให้รถยนต์เข้าไปในทางจักรยานย่อมดีกว่า อย่างไรก็ต้องนำหลักอื่นมาใช้ในการพิจารณาด้วย อาจใช้วิธีการอื่นที่เหมาะสมกับสภาพถนนมากกว่า ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้น้ำใจด้วย การจำกัดจำนวนรถอาจใช้มาตรการอื่น เช่น มาตรการทางภาษี
ความเห็นของผู้เข้าร่วม
1) ยืนยันให้บังคับใช้กฎหมาย
2) ต้องกำหนดเทศบัญญัติและใช้การวางผังเมืองมาออกแบบถนนให้เอื้อต่อการใช้จักรยาน
3) การใช้จักรยานเป็นเรื่องสิทธิ คนที่มีรถส่วนตัวละเมิดสิทธิคนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยาน ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางมากกว่าที่ควร ดังนั้นประชาชนต้องร่วมมือกัน เรียกร้องให้จำกัดการใช้รถยนต์ ใช้มาตรการต่างๆ เข้ามา เช่น การให้ผู้ใช้รถและบริษัทรถจ่ายอุดหนุน, การมีที่จอดจักรยาน
4) ทำ Sky Bike Lane คือเส้นทางจักรยานลอยฟ้าใต้ทางด่วน
(2) บทบาทของกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้จักรยานในประเทศไทย
โดย ดร.ดวงเด่น นาคสีหราช และชาคริต ขันนาโพธิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
กฎหมายผังเมืองประกาศใช้ในปี 2518 มีการแก้ไขมาแล้ว 4 ครั้ง แยกผังเมืองเป็นสองลักษณะคือผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกจึงมีการกระจายอำนาจ เพราะไม่มีกฎหมายออกมาใช้เฉพาะกับผู้ใช้จักรยานในไทย ในอังกฤษมี ผู้ศึกษาเสนอให้มีการทบทวนปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้
ความเห็นของผู้เข้าร่วม
1) (อุปนายกสมาคมการผังเมืองไทย) ความจริงผังเมืองมี 3 แบบคือมีผังเมืองนโยบายด้วย ผังเมืองรวมมีทั้งเป็นหย่อมๆ และบังคับใช้เต็มพื้นที่จังหวัด มีอายุ 5 ปีและขยายต่อได้สองครั้งๆ ละ 1 ปี หลังจากนั้นหากไม่มีผังเมืองใหม่ออกมาก็ต้องใช้เทศบัญญัติ ในทางปฏิบัติพบว่าผังเมืองใช้ไม่ได้ สมาคมการผังเมืองมีความเห็นให้ใช้ผังเมืองมาสนับสนุนการใช้จักรยาน โดยผังเมืองต้องเป็นแบบ Smart Growth และ TOD (Transit Oriented Development การพัฒนาที่เอื้อต่อการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ) เมืองจะต้องเป็นแบบ compact (คือแบบกระจุก มีสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตครบถ้วนในแต่ละย่าน) ไม่ใช่แบบ sprawl (คือเมืองขยายออกไปกว้างมาก ทำให้ชาวเมืองต้องเดินทางไปประกอบกิจต่างๆ ในระยะที่ไกลออกไป) แต่พบว่าไม่มีผังเมืองเฉพาะมาใช้ การแก้ปัญหาต้องแก้ที่คนก่อนนักผังเมืองบางคนยังไม่เข้าใจ และไม่มีการใช้กฎหมายอย่างจริงจังให้เป็นไปตามกฎกระทรวงเลย
2) (นายกฤษดา กำแพงแก้ว จากเชียงใหม่) การใช้จักรยานเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ในการเลือกการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่ในไทย ถนนไม่ให้ความสะดวกและความปลอดภัยกับคนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยาน ผังเมืองจะช่วยได้ เอามาใช้ระดมความเห็นไปเสนอผู้บริหารเมือง
(3) โปรแกรมฝึกการเดินและขับขี่จักรยานอย่างปลอดภัยของเด็กวัยเรียนในเขตจังหวัดนครนายก
โดย พ.อ. อดิชศร แย้มวงศ์ กองสนับสนุนการฝึกและศึกษา กรมยุทธศึกษาทหารบก
วิธีการเพิ่มผู้ใช้จักรยานทางหนึ่งคือการให้การศึกษาโดยมีหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงการศึกษา การวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นการวิจัยเชิงทดลองในเขตจังหวัดนครนายก โดยมีเครื่องมือ 3 ชุดคือ โปรแกรมการฝึก, แบบประเมินความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม, และการประเมินความพึงพอใจ ได้ประยุกต์โปรแกรมการสอนมาใช้ใน 3 ระดับคือ ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับก้าวหน้า จัดทำเป็นคู่มือสำหรับแต่ละระดับ มีภาพประกอบมากๆ ให้น่าสนใจ นำไปทดลองใช้ที่โรงเรียนวัดเชี่ยวโอสถที่ อ.องครักษ์ ชั้น ป.3, ป.6 และ ม.3 มีการเรียนการสอนในห้องเรียน การฝึกขี่จักรยานในชุมชน และกลับมาสอนอีกครั้ง เน้นไปที่การใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน การสอนและฝึกใช้เวลาครั้งละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งหมดในสามระดับเป็น 4, 6 และ 8 ชั่วโมงตามลำดับ การฝึกปฏิบัติใช้ผู้ช่วยสอน 4 คน ไม่มีการใส่หมวกนิรภัย แต่ใส่เสื้อที่มีแถบสะท้อนแสง ผลการประเมินออกมาได้คะแนนสูง พบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการเรียนการฝึกอย่างชัดเจนมีนัยสำคัญ สรุปว่าโปรแกรมมีผลระดับหนึ่ง ได้คะแนนความพึงพอใจในระดับดี แต่พบว่าสื่อที่ใช้สอนนำมาจากต่างประเทศ ถ้ามีการพัฒนาสื่อที่เป็นภาษาไทย จะได้ผลดีกว่า สำหรับข้อเสนอให้ปรับปรุงคือควรมีการพัฒนาความรู้และทัศนคติผู้ฝึกสอนก่อน เพื่อให้การสอนมีประสิทธิผล การวิจัยยังพบว่าเด็กส่วนใหญ่ขี่จักรยานเป็น แต่ไร้รูปแบบ โปรแกรมการฝึกจึงช่วยได้ และสามารถนำไปขยายผลกับประชาชนทั่วไป
ความเห็นของผู้เข้าร่วม
1) (อาจารย์ธงชัย) เสนอให้ผู้วิจัยมาขอทุนจากชมรมฯ ไปทำวิจัยต่อยอดได้ ทางชมรมฯ ได้ประสานงานกับกระทรวงไว้แล้วในการนำโปรแกรมการฝึกไปใช้
2) (ผู้ทรงคุณวุฒิดูแลอาคารโบราณ จากกรมโยธาธิการและผังเมือง) ต้องละเอียดอ่อนในการใช้ภาพ จักรยานในภาพไม่เหมาะกับสรีระเด็กในทาง ergonomics ต้องออกระเบียบหรือกฎกระทรวงให้มีการออกแบบจักรยานให้เหมาะสมกับสรีระของคนไทย ได้มาตรฐานในด้านความแข็งแรงและขี่ได้ปลอดภัย
(4) สิทธิ์ของคนใช้จักรยานบนทางสัญจร
โดย บุญเลิศ โพธิ์ขำ อาจารย์คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเจษฎา ไชยตา อาจารย์คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
การวิจัยนี้เป็นการรวบรวมสิทธิต่างๆ ของผู้ใช้จักรยานที่ปรากฏในกฎหมาย 5ฉบับคือ รัฐธรรมนูญ, ประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา, พรบ.จราจรทางบก, พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และ พรบ.ประกันสังคม ทำความเข้าใจสิทธิเหล่านี้และจัดเป็นหมวดหมู่ จากการพบว่า ปัญหาหนึ่งในการสร้างและส่งเสริม “วัฒนธรรมจักรยาน” คือการขาดความเข้าใจสิทธิของผู้ใช้จักรยานและการใช้สิทธิเหล่านี้ โดยศึกษาสิ่งที่มีในอังกฤษ พบว่าสามารถเอามาเป็นแบบอย่างได้ เช่น การชดเชยเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหาย, กฎหมายผังเมือง, กฎหมายภาษีที่ส่งเสริมการใช้จักรยาน, มาตรฐานจักรยาน อุปกรณ์ และโครงสร้างพื้นฐาน การทำวิจัยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเอกสารดูว่าผู้ใช้จักรยานได้รับความคุ้มครองอย่างไรบ้าง ยังไม่มีการเก็บข้อมูลจากภาคสนามในเชิงปริมาณมาสนับสนุน การวิจัยได้ข้อสรุปว่า ในด้านสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใช้จักรยานในไทยยังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ์เท่าในต่างประเทศ แต่ก็สามารถเริ่มดำเนินการได้ด้วยการนำความรู้เกี่ยวกับสิทธิที่มีอยู่ไปเผยแพร่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบและเผยแพร่ต่อไปให้ผู้ใช้จักรยานทราบ
ความเห็นของผู้เข้าร่วม
1) (กรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนน และสำนักงานเครือข่ายอุบัติเหตุ) มีคนตั้งคำถามเรื่องการชดเชยผู้ใช้จักรยานที่ถูกชนกันมาก คำถามคือกฎหมายมีมากพอไหม น่าจะเพิ่มอะไรไหม ขณะนี้การคุ้มครองผู้ขับขี่จักรยานยนต์ก็ยังไม่เท่าผู้ขับรถยนต์ ทำให้คนใช้จักรยานยนต์ตายเปล่าเป็นจำนวนมาก อีกประการคืออะไรเป็นสาเหตุที่การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิผล เป็นเพราะขาดคน หรือขาดวิธีการ ความรู้ ความเชี่ยวชาญในการใช้ เมื่อการวิจัยพบว่าตำรวจไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ จะให้บุคลากรของ อปท.เข้ามาทำหน้าที่นี้หรือไม่ อยากให้หาว่าการออกแบบใดเหมาะกับสภาพของประเทศไทย
2) น่าศึกษาว่าการสอนการสอบเพื่อขอใบขับขี่มีเรื่องการระมัดระวังผู้ใช้จักรยานมากน้อยเพียงใด
3) การละเมิดกฎหมายมีสาเหตุหลายประการ การบังคับใช้กฎหมายอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป
บันทึกโดย กวิน ชุติมา