ไปดูเขาขี่สองล้อ ที่ปักกิ่งกับชานสี
ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของจีน และเป็นเขตปกครองตนเองที่มีรัฐบาล(เทศบาล) เป็นของตัวเอง คล้ายๆกับกทม.ของเรา แต่ของเขามีอำนาจเบ็ดเสร็จมากกว่า จึงจัดการอะไรๆได้เบ็ดเสร็จและรวดเร็วกว่า ส่วนชานสีเป็นมณฑล ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศไทย ก็คงมีอาณาเขตใหญ่เล็กไม่แพ้กันนัก ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่มากจึงมีมณฑลอยู่หลายมณฑล แต่ละมณฑลก็มีการปกครองของตัวเองและมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองด้วย
ที่ต้องจั่วหัวเรื่องว่าไปดูเขาขี่สองล้อที่ปักกิ่งและชานสีก็เพราะเหตุผลข้างต้น คือจะไปบอกว่าประเทศจีนเป็นแบบนี้หมดคงไม่ได้ เพราะทั้งปักกิ่งและชานสีไม่สามารถเป็นตัวแทนของจีนทั้งประเทศได้เช่น มณฑลกวางตุ้งอาจจะมีวิธีคิดเรื่องจักรยานไปอีกแบบหนึ่งเลยก็ได้
จักรยานกับสภาพจราจร(ชิดขวา) ติดขัดในเมืองปักกิ่ง | ความ(ไม่)อันตรายของการขี่จักรยานแทรกไประหว่างรถยนต์ในปักกิ่งก็ไม่ต่างจาก กทม.ของเรานัก |
มีคนชอบพูดว่าขี่จักรยานในกรุงเทพฯไม่ได้ เพราะรถยนต์เยอะและอันตราย รูปที่ลงมาให้ดูนี้ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าการจราจรในปักกิ่งก็มิได้ดีไปกว่า กทม.เลย รถยนต์เยอะมาก แต่คนจีนก็เบียดตัวขี่จักรยานไปบนท้องถนนกันเป็นปกติ โดยไม่พบว่ามีอันตรายมากจนทางการสั่งห้ามขี่จักรยานบนถนน
ฉะนั้นอย่ามาบอกว่า มีรถยนต์บนถนนเยอะแล้วขี่จักรยานไม่ได้ มันอยู่ที่วิธีคิดของคนว่าจะทำให้ทำได้หรือไม่ และคนขับรถยนต์นั้นขับรถให้เป็นมิตรกับคนขี่จักรยานหรือไม่ ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างระหว่างคนจีนกับคนไทย คนจีนทุกคนเมื่อไม่ใช้รถยนต์ หรือเมื่อกลับบ้าน ก็จะใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน จึงเข้าใจถึงหัวอกคนขี่จักรยานได้ดี จึงเอื้ออาทรและรู้จักจังหวะของคนใช้จักรยานดี การหยุด การปาดหน้า การรอ ฯลฯ จึงสอดคล้องกันและกัน และอุบัติเหตุแทบไม่มี
นี่ไม่นับรวมกรณีที่เขามีทางจักรยานแยกออกไปต่างหากจากเลนรถยนต์ ซึ่งนั่นก็จะยิ่งทำให้ปลอดภัยมากขึ้นไปใหญ่ แถมในชั่วโมงเร่งด่วนรถยนต์ติดกันมากๆ การจราจรแทบเป็นอัมพาต จะมีก็แต่เลนจักรยานเท่านั้นที่ยังปล่อยให้จักรยานเคลื่อนตัวไปได้อย่างต่อเนื่องและด้วยสปีดที่เร็วกว่าด้วย
ถนนรถติดแต่เลนจักรยานยังโล่งในเมืองไท่หยวน มณฑลชานสี |
นอกจากนี้ภาครัฐของเขาก็พยายามอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้จักรยานอย่างมาก(ผิดกับของไทยที่ไม่ทำให้ แล้วยังมาบอกว่าคนใช้จักรยานมีจำนวนน้อย จึงไม่อยากเสียงบประมาณเพื่อคนส่วนน้อย ก็คนส่วนน้อยกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็นคนส่วนใหญ่ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีอะไรมาอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้บ้างเสียเลย) ดูตัวอย่างที่จอดจักรยานแห่งหนึ่งที่มีป้ายบอกทางไปที่จอด และตัวที่จอดเองก็มีป้อมยามให้คนเฝ้าแถมมีหลังคาคลุมกันแดดกันฝนให้จักรยานอีกด้วย
ป้ายบอกทางไปโรงจอดรถจักรยาน | ป้ายยามสำหรับคนเฝ้าจักรยาน | จักรยานจอดในโรงจอดที่มีหลังคา |
ส่วนในชุมชนซึ่งมีการใช้ทั้งจักรยานและจักรยานไฟฟ้า รวมทั้งมอเตอร์ไซค์ เขาก็จะมีราวกั้นไม่ให้คนยกมอเตอร์ไซค์เข้าไปขับขี่ในชุมชน แต่จักรยานยกข้ามได้ ทั้งนี้ก็เพื่อลดอันตรายต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น พูดได้ว่าจักรยานเป็นเรื่องของชีวิตของคนจีน เขาให้ความสำคัญกับการเดินและการใช้จักรยานสำหรับคนหมู่มาก ซึ่งสักวันเมืองไทยก็จะเป็นเช่นนี้……เราหวังว่า!
ราวกั้นมอเตอร์ไซค์เข้าไปรบกวนชีวิตของชาวชุมชน ตรงกลางมีช่องเปิดให้ยกจักรยานข้ามไปได้ |
สำหรับระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นท่ารถเมล์หรือสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาก็จะมีที่จอดจักรยานซึ่งจอดได้จำนวนมากไว้ตามสถานีพวกนี้ ชาวบ้านก็จะขี่จักรยานมาจอดและต่อรถได้สะดวก ที่ผมเห็นที่สถานีใหญ่ๆ จะมีที่จอดจักรยานยาวสุดลูกหูลูกตาทีเดียว แถมบางแห่งก็มีหลังคาคลุมให้อีกด้วยเช่นกันหรือแม้กระทั่งที่สถานีรถไฟความเร็วสูงเขาก็มีระบบ ‘จอดแล้วจร’และมาต่อรถไฟฯ นั่งไปอีกเมืองหนึ่งได้อย่างสะดวก
ที่จอดจักรยานใกล้สถานีรถไฟใต้ดินในปักกิ่ง |
ที่จอดจักรยานมีหลังคาใกล้สถานีรถไฟใต้ดินในปักกิ่ง |
จอดจักรยานแล้วเดินข้ามถนนมาลงรถไฟใต้ดิน(ทางลงอยู่ทางขวามือของรูป) |
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เมื่อไปถึงเมืองจีนผมก็เลยได้ถือโอกาสเอาเสื้อ I Bike I Walk ไปอวดศักดาที่โน่นเสียหลายที่เลยด้วย ดูรูปเอาเองก็แล้วกันครับ
รถไฟความเร็วสูงที่สถานีไท่หยวนห่างจากปักกิ่ง กว่า 500 กิโลเมตรใช้เวลาเพียง 2 ชม. เศษ |
‘เสื้อ I Bike I Walk กับรถไฟความเร็วสูง’ ที่ปักกิ่ง |
ถ้ำผาหินแกะสลักเป็นพุทธศิลป์ที่ ‘หยุนกั่งสือคู’ ซึ่งเป็นมรดกโลก |
วัดเสมียนคงซึ่งเป็นวิหารแขวนที่เชิงเขาเหิงซาน อายุ 1,400 ปี | ถนนด้านข้างของถนนใหญ่ ซึ่งมี 3 เลน เลนขวาสุดเอาไว้จอดรถยนต์ (คนจีนขับรถชิดขวา) เลนกลางเป็นเลนจักรยาน เลนซ้าย (เป็นเลนที่ติดกับเกาะกลางถนนเพื่อแยกถนนนี้กับถนนใหญ่) มีไว้สำหรับรถยนต์วิ่งก่อนจะไปเลี้ยวขวาเข้าซอยขวามือ |
ธงชัย พรรณสวัสดิ์ พฤษภาคม 2556