ยืนยันอีกครั้ง การขี่จักรยานและการเดินไปทำงานช่วยลดไขมัน
การขี่จักรยานและการเดินไปทำงานได้รับการยืนยันจากการศึกษาอีกครั้งหนึ่งว่ามีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับการมีระดับไขมันในร่างกายต่ำ ความจริงก็มีการศึกษาคล้ายกันนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มีค่าควรแก่การนำมารายงานหรือบอกเล่า เนื่องจากเราอาจพูดได้เต็มปากว่าน่าเชื่อถือที่สุด เพราะเป็นการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมาในโลกจนถึงปัจจุบัน คือใช้ข้อมูลจากคนมากกว่า 150,000คนที่เอามาจากชุดข้อมูลของธนาคารชีวภาพอังกฤษ (UK Biobank) ซึ่งทำการศึกษาเชิงสังเกตการณ์คนอายุ 40-60ปีในอังกฤษประมาณ 500,000คนอีกทีหนึ่ง โดยนักวิจัยที่ London School of Hygiene and Tropical Medicine (วิทยาลัยสุขศึกษาและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน) เอาข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้มาหาความเชื่อมโยงระหว่างประโยชน์ทางด้านสุขภาพของการเดินทางไปทำงานกับวิธีการที่ผู้เดินทางใช้ คือวิธีเดินทางทำให้ผู้เดินทางคนนั้นๆ มีกิจกรรมทางกายหรือได้ออกกำลังกาย อันได้แก่การขี่จักรยานและการเดิน รวมไปถึงการใช้ขนส่งสาธารณะ/ขนส่งมวลชนด้วย กับการขับรถยนต์ไปทำงาน
รายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Diabetes and Endocrinologyเปิดเผยว่า ผู้ชายที่ขี่จักรยานไปทำงานมีน้ำหนักน้อยกว่าคนที่ขับรถไปทำงาน 5 กิโลกรัม ส่วนผู้หญิงความแตกต่างจะอยู่ที่ 4.4 กิโลกรัม โดยที่คนๆ หนึ่งยิ่งขี่จักรยานหรือเดินไปทำงานมากขึ้นเท่าใด ร้อยละของไขมันในร่างกายก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น โดยความเชื่อมโยงระหว่างวิธีการเดินทางไปทำงานกับอัตราการมีไขมันต่ำนี้เป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ สถานที่อยู่อาศัย(ชนบทหรือเมือง) ไม่ว่าพวกเขาจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะสูบบุหรี่หรือไม่ และไม่ว่าระดับการมีกิจกรรมทางกายทั่วไปจะเป็นอย่างไร ผลการศึกษาบ่งชี้ว่า แม้แต่การมีกิจกรรมทางกายในระดับต่ำจากการใช้ขนส่งสาธารณะก็สามารถมีผลกระทบทางบวกกับสุขภาพของคนๆหนึ่งได้ และคนที่เดินทางไปทำงานด้วยการขับรถยนต์ส่วนตัวเพียงวิธีเดียวมีสัดส่วนหรือร้อยละของไขมันในร่างกายสูงสุดและมีดัชนีมวลกาย(body mass index – BMI)สูงที่สุดในกลุ่มคนที่เดินทางไปทำงานทั้งหมด
ดร.เอ็ลเลน ฟลิ้นท์ อาจารย์ผู้บรรยายในเรื่องสุขภาพของประชากรที่วิทยาลัยสุขศึกษาและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้ทำการศึกษา บอกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยการใช้รถยนต์แล้ว การใช้ขนส่งสาธารณะ การเดิน และการใช้จักรยาน หรือใช้ทั้งสามวิธีผสมผสานกัน แสดงให้เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดลงของมวลกายและสัดส่วนไขมันในร่างกาย แม้จะนำปัจจัยทางด้านประชากรและทางด้านเศรษฐกิจสังคมมาพิจารณาแล้วก็ตาม “คนจำนวนมากอาศัยอยู่ไกลจากสถานที่ทำงานเกินกว่าจะเดินหรือขี่จักรยานไปทำงานได้ แต่แม้เพียงการมีกิจกรรมทางกายไม่มากนักจากการใช้ขนส่งสาธารณะก็สามารถจะมีผลอย่างสำคัญได้” เธอเสริมว่า การเดินทางไปทำงานด้วยการใช้ขนส่งสาธารณะหรือการขี่จักรยาน หรือการเดิน โดยเฉพาะในช่วงวัยกลางคน สามารถเป็น “ส่วนสำคัญของนโยบายที่นำมาใช้ทั่วโลกในการป้องกันภาวะอ้วน(obesity)ของประชากรโดยรวม” ได้
การมีน้ำหนักเกิน(overweight)และภาวะอ้วนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่หนักหน่วงที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้ดร.ลาร์ส โบ แอนเดอร์สัน แห่ง Sogn and Fjordane University College ในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นคนที่เขียนบทวิจารณ์รายงานการศึกษาครั้งนี้ บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “ปกติแล้ว เมื่อเราแต่ละคนอายุ 30ปีขึ้นไป ก็จะมีน้ำหนักเพิ่มปีละ 1-2 ปอนด์ (400-800 กรัม) แต่เราสามารถป้องกันแนวโน้มนี้ได้อย่างง่ายๆ ด้วยการเลือกเดินทางไปทำงานด้วยวิธีการที่ทำให้เรามีกิจกรรมทางกาย และการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารไปเพียงเล็กน้อย”
ผลการศึกษาที่ออกมายืนยันอย่างท่วมท้นถึงผลดีของการเดินทางที่ทำให้มีกิจกรรมทางกายนี้น่าจะเป็นหลักฐาน-ข้อมูลที่หนักแน่นที่ช่วยโน้มน้าวให้คนที่ยังขับรถยนต์ไปทำงาน เปลี่ยนพฤติกรรมมาเดินทางไปทำงานด้วยการเดินหรือการขี่จักรยานหากที่อยู่อาศัยอยู่ในระยะที่ทำได้ หรือใช้ขนส่งสาธารณะ ซึ่งอย่างไรก็ต้องผสมหรือใช้ร่วมกับการเดินหรือใช้จักรยาน เพราะไม่มีขนส่งสาธารณะระบบใดพาคุณออกจากบ้านไป-กลับสถานที่ทำงานตลอดระยะทางทั้งหมดได้ คุณต้องเริ่มและปิดท้ายการเดินทาง ที่เขาเรียกกันว่า “กิโลเมตรหรือไมล์สุดท้าย” ด้วยการเดินหรือใช้จักรยานอยู่ดี ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยได้ทำงานรณรงค์ให้การศึกษาและผลักดันนโยบายเรื่องนี้อย่างแข็งขันมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทั้งกับชุมชน สื่อมวลชน หน่วยงานราชการไทย และองค์การระหว่างประเทศ
——————————————————————————————————————————————————————————————-
กวิน ชุติมา กรรมการชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย เรียบเรียงจากข่าว Cycling and walking to work linked to lower levels of body fat เขียนโดย Kashmira Gander ในหนังสือพิมพ์ The Independent ในอังกฤษ ฉบับวันที่ 27 มีนาคม 2016