Home / บทความ / เดินๆๆ จะช้าอยู่ใย

เดินๆๆ จะช้าอยู่ใย

เดินๆๆ …จะช้าอยู่ใย

การเดินนอกจากจะทำให้ถึงที่หมายแล้ว ยังช่วยสร้างมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นและสมองทำงานเข้าที่เข้าทางอีกด้วย

(ภาพจาก oknation.net)

            โครงการรณรงค์ “10,000 ก้าว” เพื่อสุขภาพ ซึ่งริเริ่มในประเทศญี่ปุ่นเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดเป้าหมายซึ่งเป็นรูปธรรมของการเดินในแต่ละวัน ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์เชื่อว่าการเดินมีส่วนช่วยทำให้ความดันโลหิต ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่ดีทั้งทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดีมีหลักฐานปัจจุบันว่าการเดินสำคัญกว่านั้นมาก สำคัญขนาดทำให้มนุษย์อยู่รอดได้ มนุษย์ฉลาดขึ้นและทำให้สมองทำงานเป็นปกติด้วย

            นักชีววิทยาสองคน คือ D.E. Lieberman และ D.M. Bramble ได้เขียนบทความในวารสาร Nature ในปี 2004 โดยชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราสืบทอดลูกหลานมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะความอึดทนทานในการเดินวิ่งตามเหยื่อที่เป็นสัตว์อย่างไม่ลดละ   จนในที่สุดสัตว์ก็ทนไม่ไหวต้องล้มลงและเป็นอาหารในที่สุด

            การเดินทนทานทำให้เกิดอาหารและอาหารทำให้มีกำลังที่จะผลิตลูกหลาน ยีนส์จากผู้แข็งแรงเหล่านี้ก็ถูกถ่ายทอดลงมาเรื่อย ๆ เมื่อกฎธรรมชาติมีว่าคนเข้มแข็งสุดเท่านั้นที่อยู่รอด   ก็เลยสรุปได้ว่าลูกหลานปัจจุบันคือผู้ที่มียีนส์ของความอึดอดทนในการเดินเป็นเยี่ยม (เมื่อรู้แล้วและรู้สึกภูมิใจแล้วพวกเราก็จงลุกขึ้นเดินกันให้มาก ๆ เพื่อเป็นการคารวะบรรพบุรุษ)

            คู่ขนานไปกับข้อสรุปของสองนักวิชาการข้างต้นก็คือความจริงที่พบว่ามนุษย์นั้นฉลาดขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือมีมันสมองที่ใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวตลอดระยะเวลาของการพัฒนาในหนึ่ง ล้านปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วง 150,000-200,000 ปีหลังที่เป็นมนุษย์ยืนสองขาหน้าตาเหมือนพวกเราในปัจจุบัน

            ปัจจุบันมนุษย์มีมันสมองใหญ่เป็น 3 เท่าของมันสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่น ๆ หากแม้นว่ามีน้ำหนักตัวเท่ากัน

            เหตุที่มันสมองใหญ่ได้ขนาดนี้ก็เพราะการกินเนื้อและความเป็น “สัตว์สังคม” กล่าวคือมีการติดต่อสัมพันธ์กันทางสังคมของมนุษย์ตั้งแต่ยุคแรก ๆ     นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบรรพบุรุษของเราในยุคแรก ๆ จำเป็นต้องวางแผนล่าสัตว์เป็นอาหารและออกปฏิบัติการเป็นกลุ่ม ความจำเป็นดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาระบบการคิดขึ้นใครมีการพัฒนาดีก็ได้รางวัลคือสัตว์ที่ล่าได้ ดังนั้นความจำเป็นต้องคิดจึงเป็นตัวผลักดันวิวัฒนาการของสมอง

            ล่าสุดนักมานุษยวิทยาเชื่อว่านอกเหนือจากการกินเนื้อและการเป็น “สัตว์สังคม” แล้ว   การออกแรงในแต่ละวันของมนุษย์ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้น ในเอกสารวิชาการ Proceedings of the Royal Society ประจำเดือนมกราคมของปี 2013 นักมานุษยวิทยาชื่อ D.A. Raichlen ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความทนทานในการออกกำลังของหนูทดลองในกรงกับการเพิ่มขึ้นของโปรตีนชนิดที่ช่วยทำให้เซลล์สมองขยายตัวขึ้น

            สัตว์ชนิดที่มีความสามารถในการอึดอดทนการออกกำลังสูงคือ หนู สุนัข และหมาป่า หมาจิ้งจอก  ฯลฯ จะมีมันสมองที่ใหญ่กว่าสัตว์อื่นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว

            การทดลองผสมพันธุ์หนูที่มีความอึดทนทานในการออกกำลังผ่านหลายชั่วพ่อแม่ทำให้พบสารหลายตัวที่สนับสนุนการเติบโตของเนื้อเยื่อในสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีนชื่อ BDNF (Brain-derivedNeurotrophic Factor) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเติบโตของสมอง และความฉลาดที่ตามมา

            การอึดทนทานในการออกกำลังของมนุษย์ยุคแรกพร้อมไปกับการมีอาหารดีทำให้สมองใหญ่ขึ้นและฉลาดขึ้นคล้ายกับกรณีของหนูยิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้นก็ยิ่งทำให้สามารถทรงตัวได้ดีขึ้น ยิ่งคล่องตัวในการออกกำลังอึดทนทานมากขึ้นและฉลาดยิ่งขึ้น

            ข้อสรุปก็คือถ้าการออกกำลังช่วย “ปั้น” โครงสร้างของสมองแล้วไซร้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การออกกำลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพของสมองในปัจจุบัน

            ยิ่งไปกว่านั้นล่าสุดมีหลักฐานทางการแพทย์มากชิ้นขึ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพียงการเดินก็ช่วยทำให้ความสามารถในการทำงานของสมองดีขึ้น  ดังนั้นการเดินจึงมิใช่เป็นเพียงเรื่องของการเคลื่อนไหวธรรมดาเพื่อให้ถึงจุดหมายเท่านั้น

            กลุ่มคนที่สมองยากที่จะฝ่อเพราะต้องออกกำลังวิ่งอย่างอึดทนทานอยู่เป็นประจำและตามฤดูกาลก็คือส่วนใหญ่ของข้าราชการไทยระดับสูง

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ตีพิมพ์ในคอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ

อังคาร 15 ม.ค. 56

Comments

comments

Check Also

แล้ว SDG มันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่อง เดินเรื่องจักรยาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น