ศาลเชียงใหม่ตัดสินให้สาวเมาที่ขับรถชนนักจักรยานตาย3คน ถูกจำคุก 2ปีและจ่ายค่าเสียหาย 2.1ล้านบาท
ทนายโจทก์, นายกวิน, นส.ก้องกาญจน์ และ นส.นินนท์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่หน้าศาลหลังฟังคำพิพากษา (ภาพจาก MGR Online)
ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 31พฤษภาคม 2559เวลา 13.15น. นายไกรวิช จามรมาร ผู้พิพากษาได้ลงบัลลังก์ที่ 21อ่านคำพิพากษาคดีที่นางสาวภัทร์ชุดา จายเรือน อายุ 24ปี ขับรถชนผู้ขี่จักรยานเสียชีวิต 3คนคือ นายชัยรัตน์ ย่องลั่น นายสมาน กันธา และนายพงศ์เทพ คำแก้ว บนถนนเชียงใหม่-เชียงราย กิโลเมตรที่ 8-9ต.ตลาดขวัญ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3พฤษภาคม 2558โดยในฝ่ายโจทก์ อัยการจังหวัดเชียงใหม่และโจทก์ร่วมทั้งห้า ได้แก่ น.ส.ก้องกานต์ ย่องลั่น กับ น.ส.นินนท์ ย่องลั่น บุตรนายชัยรัตน์ โจทก์ร่วมที่ 1 และ 2,นางปราณี กันธา ภรรยานายสมาน โจทก์ร่วมที่ 3,นายแก้ว คำแก้ว และนางแก้ว คำแก้ว บิดาและมารดานายพงศ์เทพ โจทก์ร่วมที่ 4 และ 5เข้ารับฟังครบถ้วน ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยส่งนายกวิน ชุติมา กรรมการที่ติดตามกรณีนี้มาโดยตลอดไปสังเกตการณ์ ในขณะที่มูลนิธิเมาไม่ขับส่งผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม 4 คนรวมทั้งผู้พิการต้องนั่งรถเข็นที่เป็นเหยื่อของการเมาแล้วขับคนหนึ่งด้วย
(ซ้าย) โจทก์ร่วมและญาติมิตรที่มาให้กำลังใจก่อนศาลอ่านคำพิพากษา, (ขวา) เหยื่อเมาแล้วขับที่เชียงใหม่มาสังเกตการณ์ในศาล
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ลงโทษนางสาวภัทร์ชุดาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และ พรบ.จราจรทางบก มาตรา 43 ให้จำคุก 4ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี แม้จำเลยจะเป็นนักศึกษา เป็นหญิง บาดเจ็บจากเหตุการณ์ และได้พยายามขอขมา แต่ญาติผู้ตายยังติดใจและการกระทำของจำเลยเป็นเหตุที่มุ่งประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น เพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นต่อไป ศาลจึงเห็นว่าไม่สมควรรอลงอาญา
ในส่วนคดีแพ่งที่โจทก์ร่วมทั้ง 5ยื่นฟ้องคู่กับคดีอาญา เรียกค่าเสียหาย ค่าขาดไร้อุปการะ ครอบครัวละ 4-5ล้านบาท ศาลได้วินิจฉัยให้จำเลยจ่ายค่าใช้จ่ายงานศพเต็มตามจำนวนจริงและจ่ายค่าจักรยานของผู้เสียชีวิตโดยหักค่าเสื่อมราคาให้โจทก์ร่วมทุกคน ในขณะที่เมื่อนำการที่โจทก์ร่วมได้รับเงินประกันและค่าสินไหมครอบครัวละ 1.2 ล้านบาท ประกอบกับสภาพเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละผู้เสียชีวิตและครอบครัวแต่ละรายมาพิจารณาแล้ว ศาลให้ยกคำร้องโจทก์ที่ 1และ 2ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายชัยรัตน์ ย่องลั่น และให้จำเลยจ่ายเงินแก่ครอบครัวของนายสมาน กันธา 1.72ล้านบาท และครอบครัวของนายพงษ์เทพ คำแก้ว 435,000บาท
นอกจากนั้นศาลยังให้เพิกถอนใบขับขี่ของจำเลยด้วย คำพิพากษาทั้งหมดให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป ศาลกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายคงไม่พอใจกับคำพิพากษา และมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน เมื่อฝ่ายจำเลยจะสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ก็ให้ไปยื่นขอประกันตัว
ทนายโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังศาลอ่านคำพิพากษา
นายพิริยะ สีหะกุลัง ทนายความของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นหนึ่งในสามคนที่สภาทนายความให้มาช่วยว่าความในคดีนี้ เปิดเผยว่า ทางโจทก์ร่วมจะยื่นอุทธรณ์หลังจากได้หารือเมื่อได้รับสำเนาคำพิพากษาที่เป็นทางการแล้ว ซึ่งคาดว่าจะในอีกราวสองสัปดาห์ หากทำไม่ทันก็จะขอขยายเวลาการอุทธรณ์ออกไป
นส.นินนท์ กับ นส.ก้องกาญจน์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทั้งน้ำตาหลังฟังคำพิพากษา
น.ส.ก้องกานต์ และ น.ส.นินนท์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังจากฟังคำพิพากษาเปิดเผยว่า ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางครอบครัวยังรู้สึกเศร้าโศกเสียใจต่อความสูญเสีย โดยไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากคู่กรณียกเว้นการเสนอช่วยเหลือค่าทำศพ 100,000 บาท จึงจะต่อสู้ตามกฎหมายต่อไปจนถึงที่สุด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้ขับขี่รถยนต์เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเมาแล้วต้องไม่ขับอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุความสูญเสียเหมือนที่ครอบครัวตัวเองต้องเผชิญ
พ่อแก้ว, นส.ก้องกาญจน์, นายกวิน และผู้แทนชมรมจักรยานเสือสันทราย เชียงใหม่ ที่หน้าศาล (ภาพจาก kapok.com)
ส่วนนายกวินได้เสริมว่า นอกจากครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์นี้ได้ปลุกให้ผู้ใช้จักรยานทั่วประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย มูลนิธิเมาไม่ขับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องหลายประการในช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียในทำนองนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นการขี่จักรยานรณรงค์ การระดมรายชื่อประชาชนไปยื่นร้องเรียนประธานศาลฎีกา การเข้าพบนายกรัฐมนตรี และการทำงานกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเมาและขับ ให้ปกป้องสิทธิและคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน ซึ่งจะได้รับประโยชน์ทุกคนไม่เพียงแต่ผู้ใช้จักรยาน เพราะคนเมาจะไปก่อความเสียหายทำร้ายใครก็ได้รวมทั้งตนเอง คำพิพากษาครั้งนี้แม้จะยังไม่เป็นที่น่าพอใจในแง่การส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า หากเมาแล้วขับรถไปก่อความเสียหายต่อชีวิตจะต้องรับผิดชอบและถูกลงโทษอย่างหนัก แต่ก็เป็นความคืบหน้าขั้นหนึ่ง มีการตัดสินให้จำคุกทันที เพราะที่ผ่านมา ศาลมักพิพากษาให้รอลงอาญา
รายงานโดย กวิน ชุติมา
กรรมการชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย