ขอเริ่มต้นด้วยข้อมูลก่อน… คนจำนวนมากมักจะลังเลที่จะออกมาขี่จักรยานไปไหนมาไหนบนถนน เพราะกังวลหรือกลัวว่าจะถูกรถชนเอา แต่ในความเป็นจริง ความเสี่ยงเช่นว่านี้น้อยกว่าที่พวกเขาคิดมากมาย การศึกษาของศูนย์ควบคุมโรคที่สหรัฐอเมริกาพบว่า การขี่จักรยานปลอดภัยกว่ากิจกรรมหลายอย่าง เช่น การเล่นเทนนิส การว่ายน้ำ การตกปลา การขับรถ แม้กระทั่งการเดิน!!! และที่สหรัฐฯ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น มีเพียงร้อยละ 11 ของอุบัติเหตุจักรยานเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ในขณะที่ส่วนใหญ่คือร้อยละ 73 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครทั้งนั้น นอกจากคนที่ขี่จักรยานคันนั้นเอง การศึกษาที่เมืองไทยพบตัวเลขใกล้เคียงกัน คืออุบัติเหตุจักรยานที่เกี่ยวข้องกับคนอื่น-ยานพาหนะอื่น รวมๆ ทั้งประเทศ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวร้อยละ 20(ดูรายละเอียดในรายงานการวิจัยของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยที่ http://www.thaicyclingclub.org/multimedia/booklet/detail/1523) ในขณะที่การขี่จักรยาน ซึ่งเป็นกิจกรรมทางกาย ทำให้คุณห่างจากการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคเกี่ยวกับหัวใจทั้งหลาย ที่มีการขาดกิจกรรมทางกายเป็นสาเหตุสำคัญ หรือกระทั่งช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคเหล่านี้ได้ด้วย
การศึกษาพบข้อเท็จจริงที่น่าจะทำให้ผู้ใช้จักรยานหน้าแตกด้วย นั่นคือในสหรัฐฯ ร้อยละ 59 ของอุบัติเหตุจักรยานเกิดจากคนขี่ล้มเอง (การศึกษาในไทยของชมรมฯ ได้ตัวเลขออกมาราวร้อยละ 30) และอีกร้อยละ 14 เกิดจากการชนกับวัตถุที่อยู่กับที่ เช่น ต้นไม้ ความเชื่อที่ผิดๆอีกประการหนึ่งคือ คนมักเชื่อว่าตนเองจะถูกชนจากด้านหลัง แต่ความจริงคือการถูกชนจากยานพาหนะที่แล่นไปในทิศทางเดียวกันมีน้อยมาก น้อยกว่าร้อยละ 2 ของการชนกันที่เกี่ยวกับจักรยานทั้งหมด เรามีแนวโน้มที่จะถูกชนที่ทางแยกมากกว่า ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 45 ของอุบัติเหตุที่รถยนต์ชนจักรยานในสหรัฐฯ ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์แน่ที่เราจะมาดูกันถึงสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงและวิธีการหลีกเลี่ยงหรือลดความเสี่ยง คำบรรยายต่อไปนี้ได้ปรับข้อความให้เข้ากับระบบจราจรแบบเดินรถข้างซ้ายที่ไทยใช้อยู่แล้ว จากต้นฉบับที่เขียนสำหรับระบบจราจรแบบอเมริกันที่เดินรถทางขวา
1. เมื่อมีป้ายจราจรบอกให้ “หยุด”
อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้เมื่อไม่หลีกทางให้กัน และพบว่าคนผิดราวร้อยละ 50 คือผู้ใช้จักรยานเอง
วิธีการลดความเสี่ยงคือ เมื่อมีป้าย “หยุด” ก็ต้องหยุดให้รถอื่นที่อยู่ในทางหลักหรือได้สิทธิ์ไปก่อน และแม้เมื่อเราขี่จักรยานอยู่ในทางหลักหรือได้สิทธิ์ไปก่อนตามกฎจราจร ก็อย่าคิดว่ารถที่มาในทางรองหรือควรให้สิทธิ์เรา จะเคารพกฎหมายและให้ทางกับเราเสมอ ถ้าเกิดสภาพที่ทั้งเราและเขามาถึงทางแยกพร้อมกัน หยุดหรือรอให้เขาไปก่อนไว้เป็นดีที่สุด
2. รถที่แล่นสวนมาเลี้ยวขวาตัดข้ามทางที่เราขี่ไป
วิธีการลดความเสี่ยงคือ อย่าขี่เร็ว ขี่ให้ช้าพอที่เราจะหยุดจักรยานได้ทันหากจำเป็นเมื่อคนที่ขับรถเลี้ยวมาไม่เห็นเรา คิดไว้ก่อนว่าเขาไม่เห็นเรา การใส่เสื้อผ้าสีสดใสก็เป็นความคิดที่ดี อาจช่วยเพิ่มโอกาสที่คนขับรถเห็นเรามากขึ้น
3. รถเลี้ยวซ้ายตัดทางที่เราขี่
รถที่แล่นมาทางเดียวกับเรา เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกหรือเข้าซอยตัดเข้ามาในทางที่เราขี่อยู่
วิธีการลดความเสี่ยงคือ เมื่อขี่ตรงไปใกล้ถึงสี่แยกหรือปากซอย (1) ตรวจดูรถที่มาจากข้างหลังว่าเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายหรือไม่ ถ้าเขาไม่ลดความเร็วลงให้เราไปก่อน แต่ดูว่าเร่งความเร็วขึ้นมา ทำท่าจะแซงแล้วตัดหน้าเราเลี้ยวซ้าย ก็ชะลอความเร็วของเราลง ปล่อยให้เขาไปก่อน, (2) อย่าแซงรถข้างหน้าไปทางซ้าย แม้เขาจะไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพราะเขาอาจไม่เปิดเลยหรือเปิดเอาก็ตอนที่จะเลี้ยวแล้ว และ (3) ถ้าทำได้ ควรจะขี่กลางช่องทางจราจร(ช่องซ้ายสุด)เลย เพื่อกันไม่ให้รถแซงไปเลี้ยวปาดหน้าเรา อีกทั้งเขาจะเห็นเราได้ชัดและเห็นสัญญาณมือของเราด้วยว่าเราจะขี่ไปทางไหน อย่าขี่บนไหล่ทางหรือชิดขอบถนน-ชิดทางเท้า
เมื่อจะละเมิดกฎ
วิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอุบัติเหตุชนกันประการหนึ่งคือการทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด แต่ก็มีกฎบางข้อที่มีข้อยกเว้นให้เราไม่ทำตามได้เพื่อให้ปลอดภัย เช่น เมื่อกฎหมายเขียนว่าเราต้องขี่ในทางจักรยานเมื่อมีทางจักรยานจัดไว้ให้ เราก็ยังได้รับอนุญาตให้ขี่ออกมานอกทางจักรยานได้เมื่อในทางจักรยานมีอุปสรรคที่จะทำให้คุณได้รับอันตราย เช่น มีหลุมลึก หรือเมื่อกฎหมายเขียนไว้ว่าเราต้องขี่ชิดซ้าย เราก็สามารถขี่ออกมาทางขวาได้หากทางข้างหน้ามีสภาพที่จะเป็นอันตรายต่อผู้ขี่จักรยานหรือจะแซงขึ้นไป หรือเมื่อกฎหมายเขียนว่าเราต้องให้สัญญาณมือตลอดเวลาก่อนหน้าที่จะเลี้ยว เราก็สามารถลดมือมาจับแฮนด์ได้ ถ้าเราต้องทำเช่นนี้เพื่อให้สามารถควบคุมจักรยานได้อย่างปลอดภัย
ขอบคุณรูปภาพจาก www.never-age.com / www.prachachat.net /www.dexclub.com/www.nittortive.in.th
กวิน ชุติมา เรียบเรียงจาก How to avoid the 3 most common car-bike accidents
วิจัยโดย ริค เบอร์นาดี ใน Bicycle Magazine