คาร์ฟรีเดย์หรือวันปลอดรถเป็นกิจกรรมที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางยุโรปได้ทำต่อเนื่องกันมาสิบกว่าปีแล้ว และวันปลอดรถหรือคาร์ฟรีเดย์นี้เป็นวันที่นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมใช้เป็นวันเชิงสัญลักษณ์ที่จะพยายามบอกกับโลกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้มันรุนแรงและต้องรีบเร่งแก้ไขรวมทั้งป้องกันอย่างรีบด่วน โดยต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนมาช่วยกันทำ
ร่วมกันอย่างไร ก็ร่วมโดยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง โดยหันมาใช้รถเมล์ รถขนส่งมวลชนแบบบีทีเอส รถแท็กซี่ การเดิน การขี่จักรยาน
คาร์ฟรีเดย์นี้กำหนดให้มีกิจกรรมพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 22กันยายนของทุกปี ซึ่งในเมืองไทยมักทำในวันนี้ไม่ได้ด้วยขีดจำกัดของคนมาร่วมงาน เพราะบังเอิญไปตีความแบบไม่ถูกต้องนักว่าวันคาร์ฟรีเดย์เป็นวันจักรยาน จึงมักเลี่ยงไปทำในวันหยุดที่ใกล้เคียงกับวันที่ 22กันยายน ซึ่งในปีนี้กทม.และหลายจังหวัดก็ได้ทำกันในวันอาทิตย์ที่ 18กันยายน 2554ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีจักรยานมาร่วมเป็นพันคัน อันนับว่าประสบความสำเร็จมากพอสมควร
คาร์ฟรีเดย์ในเมืองไทยมีขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2543โดยผมในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยและได้มีโอกาสไปสัมผัสและร่วมรณรงค์ในงานแบบนี้กับเขาในต่างประเทศมาก่อนเป็นผู้เสนอให้ทำขึ้นในเมืองไทย ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ที่หลายคนไปนึกว่าคาร์ฟรีเดย์เป็นไบซิเคิลเดย์หรือวันจักรยาน ทั้งๆที่จริงๆแล้วจุดประสงค์ของการให้มีคาร์ฟรีเดย์คือการให้ประชาชนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่หันมาเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถยนต์ส่วนตัวนั้น และแปลงร่างตัวเองเป็นคาร์ฟรีแมนหรือคนปลอดรถ(ส่วนตัว)และใช้วิธีการเดินทางด้วยวิธีการอื่นๆที่จะช่วยลดมลพิษ ลดปัญหาจราจร และลดก๊าซที่ทำให้โลกร้อน
ดังนั้นเมื่อเข้าใจหลักการของคาร์ฟรีเดย์โดยคาร์ฟรีแมนนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าในงานวันนั้นทั่วโลกเขามุ่งเป้าไปที่คนที่มีรถยนต์ส่วนตัวใช้อยู่ และขอให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถยนต์ส่วนตัว ให้หันมาเป็นคนปลอดรถหรือคาร์ฟรีแมนอย่างน้อยที่สุดก็ในวันคาร์ฟรีเดย์นั้น ซึ่งหากมองไปในสังคมตามความเป็นจริง โดยเฉพาะในประเทศไทยและกทม.ก็จะพบความจริงว่าจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่เขาเป็นคาร์ฟรีแมนอยู่แล้ว เขาไม่มีและไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นคาร์ฟรีเดย์แทบจะไม่มีผลอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นคนหาเช้ากินค่ำ พนักงานออฟฟิศ ข้าราชการผู้น้อย ฯลฯ เป้าใหญ่ๆของการรณรงค์จึงต้องพุ่งไปที่คนค่อนข้างมีฐานะที่สามารถมีและขับรถยนต์ส่วนตัวของตัวเองได้ ซึ่งจากประสบการณ์ทั่วโลกก็พบสัจธรรมว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะคนกลุ่มนี้ยังไงๆก็ยังคงเป็นคนใช้รถยนต์ส่วนตัว และยังไม่เป็นคาร์ฟรีแมน ไม่เว้นแม้แต่คนจัดงานวันคาร์ฟรีเดย์ ซึ่งครั้งหนึ่งก็รวมเอาตัวผมเข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
งานวันคาร์ฟรีเดย์ในต่างประเทศจึงค่อยๆลดความนิยมและความสำคัญลง ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มจะติดลมและได้รับความสำคัญจากสื่อมากขึ้น และอาจมีผลกระทบต่อวิธีคิดของสังคมมากขึ้น
เรื่องหลักการของการเป็นคาร์ฟรีแมน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะในวันคาร์ฟรีเดย์ โดยทำทุกๆวันนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ เข้าใจได้ไม่ยาก แต่แปลกที่ผมเองเพิ่งมาเข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งเอาในสี่ห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผมไม่มีงานประจำหลังจากที่เกษียณจากงาน คงมีแต่งานประชุม งานบริการสังคม และงานทางวิชาชีพเล็กๆน้อยๆ ซึ่งในช่วงนั้นผมไม่ได้ใช้รถส่วนตัวเลย และเป็นคาร์ฟรีแมนมาโดยตลอดโดยที่ไม่ได้ตระหนักรู้แบบลึกเข้าไปในสมองว่าตัวเองกำลังเป็นคาร์ฟรีแมน และทุกๆวันในช่วงนั้นเป็นคาร์ฟรีเดย์ทุกวันสำหรับผม
ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายๆคน ซึ่งน่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยเสียด้วยซ้ำ ที่เป็นคาร์ฟรีแมนอยู่ทุกๆวัน และเป็นคนที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษและโลกร้อนน้อยที่สุด และควรได้รับการยกย่องมากที่สุด
การรณรงค์ด้วยจักรยานในสมัยปี 2541(โปรดสังเกตเครื่องแต่งกายซึ่งแตกต่างจากสมัย 2555)
ธงชัย พรรณสวัสดิ์
บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๔