Home / News and Events / News / ศาลเชียงใหม่นัดอ่านคำพิพากษาคดีคนเมาขับรถชนนักจักรยานเสียชีวิตสามคนในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม

ศาลเชียงใหม่นัดอ่านคำพิพากษาคดีคนเมาขับรถชนนักจักรยานเสียชีวิตสามคนในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม

ศาลเชียงใหม่นัดอ่านคำพิพากษาคดีคนเมาขับรถชนนักจักรยานเสียชีวิตสามคนในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม

จากเหตุการณ์ที่นางสาวภัทร์สุดา จายเรือน ขับรถขณะเมาสุราชนนักจักรยานสังกัดชมรมจักรยานเสือสันทรายเสียชีวิต ๓ คน ได้แก่ นายชัยรัตน์ ย่องลั่น, นายสมาน กันธา และนายพงษ์เทพ คำแก้ว ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘  ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วมทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างแข็งขัน ทั้งในด้านการรณรงค์สร้างความตื่นตัวของสาธารณชน การขับเคลื่อน-ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประสบเหตุและครอบครัว และเกิดมาตรการที่จะช่วยป้องปรามมิให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ซึ่งชมรมฯ ได้รายงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดผ่านทางเว็บไซต์และเฟสบุ๊กของชมรมฯ

ล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๖-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดไต่สวนครั้งสุดท้ายของคดีหมายเลขดำที่ อ.๒๙๕๒/๒๕๕๘ ที่มีพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่เป็นโจทก์ และบุตรและภรรยาของผู้เสียชีวิตทั้งสามรวม ๕ คนเป็นโจทก์ร่วม และนางสาวภทร์สุดาเป็นจำเลย ในประเด็นค่าเสียหายที่โจทก์ร่วมเรียกร้องจากจำเลย เนื่องไม่สามารถตกลงกันได้แม้ศาลจะจัดให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยไปเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ ก็ตาม (ในส่วนความผิดทางอาญานั้นไม่มีการไต่สวนเพิ่มเติมเนื่องจากจำเลยรับสารภาพตลอดข้อหา) การไต่สวนได้จัดขึ้นที่ห้องพิจารณาคดี ๒๑ ชั้น ๒ อาคารศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในบริเวณศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายไกรวิช จามรมาร ผู้พิพากษา ขึ้นนั่งบัลลังก์ 

จากการที่คณะทนายสามคนของฝ่ายโจทก์ร่วมได้เตรียมการมาดีพอสมควร มีการซักซ้อมและพิมพ์คำให้การของพยาน และทำเอกสารประกอบมาให้ศาลครบถ้วน ทำให้การไต่สวนเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ในวันที่ ๑๖ ช่วงเช้าเป็นการให้การของพยานของโจทก์ร่วมที่ ๑ นางสาวก้องกานต์ ย่องลั่น, โจทก์ร่วมที่ ๒ นาวสาวนินนท์ ย่องลั่น (ทั้งสองเป็นบุตรของนายชัยรัตน์ ย่องลั่น ผู้ตายคนที่ ๑) และโจทก์ร่วมที่ ๓ นางปราณี กันธา (ภรรยาของนายสมาน กันธา ผู้ตายคนที่ ๒)  ส่วนช่วงบ่ายเป็นการให้การของพยานของนางแก้ว คำแก้ว (มารดาของนายพงษ์เทพ คำแก้ว ผู้ตายคนที่ ๓)   เนื้อหาของคำให้การมีการทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลที่ตามมา มีการแจกแจงความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าจัดงานศพ ประโยชน์จากรายได้ของผู้ตายในการอุปการะเลี้ยงดู ฯลฯ ออกมาเป็นตัวเลข รวมเป็นจำนวน ๔,๑๔๗,๘๑๑.๖๕ บาท, ๕,๔๔๖,๑๔๑.๕๐ บาท และ ๔,๒๕๗,๖๒๓ บาท สำหรับผู้ตายคนที่ ๑, ๒ และ ๓ ตามลำดับ   ทางทนายจำเลยได้ซักถามเพียงสั้นๆ ย้ำเน้นว่าโจทก์ได้รับสินไหมจากบริษัทประกันภัยจำนวน ๑ ล้านบาทและเงินจาก พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถจำนวน ๒ แสนบาทไปแล้ว  และตัวเลขรายได้ของผู้เสียชีวิตบางรายการไม่มีหลักฐานยืนยัน ไม่มีการยื่นเสียภาษีรายได้   

เดิมนั้น ทนายของโจทก์ร่วมไม่ได้เรียกให้โจทก์ร่วมที่ ๔ คือนายแก้ว คำแก้ว บิดาของนายพงษ์เทพ มาให้การเป็นพยาน แต่ศาลบอกให้สืบพยานให้ครบถ้วนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดี หากคดีดำเนินไปถึงขั้นอุทธรณ์และฎีกา และทนายโจทก์ร่วมต้องการตอบโต้การซักพยานของทนายจำเลยที่พยายามชี้ไปทำนองว่า การที่โจทก์ร่วมได้รับสินไหม ๑ ล้านบาทนั้นเป็นผลมาจากการเดินเรื่องกับบริษัทประกันของฝ่ายจำเลย จึงขอเบิกความให้โจทก์ร่วมที่ ๔ และนายศิวฐาวุฒิ กันธา บุตรของผู้ตายที่ ๒ มาเป็นพยานเพิ่มเติม ซึ่งมีการให้การในช่วงเช้าวันที่ ๑๗ มีนาคม นายศิวฐาวุฒิได้ให้การถึงกระบวนการที่ฝ่ายโจทก์และผู้สนับสนุนได้ดำเนินการทั้งหมด รวมทั้งการจัดขี่จักรยานรณรงค์จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ และการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เป็นต้น จนในที่สุดบริษัทมิตรแท้ประกันภัยยินยอมจ่ายสินไหมสูงสุดตามวงเงินประกันคือรายละ ๑ ล้านบาท จากที่ตอนแรกจะจ่ายเพียงรายละ ๕ แสนบาท   เมื่อหมดพยานฝ่ายโจทก์ ก็เป็นการให้การของพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งมีเพียงคนเดียวคือตัวจำเลยเอง  อนึ่งพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในห้องพิจารณาคดีโดยตลอด ไม่ได้ซักถามพยานแต่อย่างใด

ในการไต่สวนครั้งนี้ ผู้พิพากษาได้กล่าวย้ำหลายครั้งว่า อย่าเอาความโกรธแค้นเศร้าหมองมาเป็นกระบวนการของศาล ในเมื่อจำเลยสารภาพผิดแล้วก็มาพิจารณากันเรื่องค่าเสียหาย เรื่องนี้มีผลกระทบต้องปรึกษาหารือหลายฝ่าย รวมทั้งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่และอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๕ จึงขอนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ น. อนึ่งผู้พิพากษายังบอกให้โจทก์ร่วมมารับเงินค่าเสียหายที่จำเลยนำมาไว้ที่ศาลไปเสีย ไม่ว่าทนายจะแนะนำอย่างไร การรับเงินจำนวนนี้ไม่มีผลทำให้คดีจบไป ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้จ่ายค่าเสียหายมากกว่านั้นก็เพียงแต่หักจำนวนที่รับแล้วออกไป หากไม่มาเอาไป เงินจะตกเป็นของแผ่นดิน (จากการสอบถามภายหลัง ฝ่ายโจทก์ยังยืนยันไม่มารับเงินก้อนนี้ที่ศาลจนกว่าคดีจะสิ้นสุด)

ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยจะนำคำพิพากษาของศาล และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา มารายงานให้ทราบต่อไป

รายงานโดย  กวิน ชุติมา

กรรมการชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย

Comments

comments

Check Also

ชมรมฯ ร่วมงาน a day BIKE FEST 2016

Leave a Reply

Your email address will not be published.